4/01/2560

ยูนิลีเวอร์กับการก้าวสู่ตลาด E-Commerce ระดับโลก

              Mr.Keith Higgins Executive Vice President & Head of Global E-Commerce – Unilever

ยูนิลีเวอร์เตรียมพร้อมที่จะเติบโตในโลก E-Commerce มาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้ยูนิลีเวอร์สร้างยอดขายจาก E-Commerce ได้เป็นจำนวนเงินมหาศาลนั้น เป็นเพราะเราติดตามและเข้าใจผู้บริโภคเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ทำให้เขามีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อหาและรักในแบรนด์นั้นๆ จนเกิดการซื้อและบอกต่อผ่านโลกโซเชียลทั้งออนไลน์และออฟไลน์
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่ได้สื่อสารหรือรับสื่อจากแค่เพียงช่องใดช่องหนึ่งเท่านั้น แต่มีการดูและรับสื่อจากหลากหลายช่องทางหรือที่เรียกว่า OMNI CHANNEL ดังนั้น สิ่งสำคัญในการเติบโตในโลกออนไลน์ก็คือ Smart Data คือการนำข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการวิเคราะห์อย่างถูกต้องเพื่อให้รู้ว่าผู้บริโภคสนใจคลิกดูอะไรบ้าง ใช้เวลาในการดูนานเท่าไร ดูอะไรต่อ มีเส้นทางการสำรวจจนกว่าจะตัดสินใจซื้ออย่างไรบ้าง ซึ่งผู้บริโภค 36% จะหาข้อมูลผลิตภัณฑ์จากสื่อออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ
การสร้างแบรนด์ที่ดีต้องนำเสนออย่างชัดเจนและสวยงามในทุกช่องทาง ที่สำคัญต้องเลือกลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพสูง เลือกคู่ค้าหรือพันธมิตรที่จะช่วยสร้างการเติบโตได้ พร้อมกับมีแนวคิดการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจเครือข่าย ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ที่มีรูปแบบธุรกิจที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดด้วยโมเดลธุรกิจใหม่อย่าง OMNI CONNECT ที่รวมทุกช่องทางเชื่อมเข้าหากัน เพื่อความเข้าใจและเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ที่จะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้ก็คือ การนำข้อมูลผู้บริโภคทุกขั้นตอนจนถึงการสั่งซื้อมาวิเคราะห์อย่างถูกต้องให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เพื่อการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดไปกับ OMNI CONNECT







                                                       สนใจร่วมธุรกิจคลิ๊กเลย  
                                                  MEMBER PRIVILEGE






 
OMNI CONNECT โมเดลธุรกิจยุคดิจิทัลจาก ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค
ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัลได้ต้องเข้าใจผู้บริโภคให้มากพอ มีเทคโนโลยีทันสมัยรองรับ มีนวัตกรรมดีต่อเนื่อง ซึ่งในยุคดิจิทัลปัจจุบันได้ก่อให้เกิดการทำงานและธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Social Commerce หรือการทำธุรกิจบนโลกโซเชียล ซึ่งคนที่สนใจทำธุรกิจต้องเริ่มตั้งแต่หาสินค้าหรือบริการ สร้างช่องทางขายทั้งทางเว็บไซต์ เฟซบุ้ค ไลน์ หรืออินสตราแกรม มีระบบการจ่ายเงินที่เชื่อถือได้หรือ Gateway Payment หรือจะตัดปัญหาด้วยการขายผ่าน Market Place อย่าง LAZADA
แต่ปัญหาสำคัญก็คือ จะหาสินค้าที่มีคุณภาพได้จากที่ไหน แล้วจะบริหารจัดการสต๊อคสินค้าอย่างไร ทั้งหมดคือความเสี่ยงและภาระที่ต้องเจอ
นี่คือจุดเริ่มต้นของ OMNI CONNECT โดย ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค ทางเลือกทางโลกธุรกิจให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจบนโลกดิจิทัลได้อย่างประสบความสำเร็จ นักธุรกิจไม่ต้องหาสินค้า ไม่ต้องสร้าง Platform การขาย ไม่ต้องทำเว็บไซต์ ไม่ต้องปวดหัวกับการจัดส่ง ฯลฯ เพราะ OMNI CONNECT คือการเชื่อมต่อโลกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ช่วยให้คุณสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ เป็นโอกาสสร้างธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง ใช้ง่าย เชื่อมต่อกับผู้คนได้เรื่อยๆ และหลายรูปแบบ ทั้งการซื้อใช้ การแชร์โค้ดเพื่อรับ Cash Back หรือทำธุรกิจแบบเต็มตัว
สิ่งที่เราหวังจาก OMNI CONNECT ไม่ใช่ยอดขาย แต่อยากให้ทุกคนมีความสุข ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ชอบไลฟ์สไตล์แบบ Happy Now คือมีความสุขได้ในปัจจุบันโดยไม่ต้องรออนาคต มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง คิดใหม่ทำใหม่เพื่อเห็นผลทันที ต้องการความเป็นเจ้าของ เชื่อมโยงมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
โมเดลธุรกิจ OMNI CONNECT จึงเป็นรูปแบบธุรกิจที่ดี ที่มีแพลตฟอร์มรองรับไว้ครบถ้วน ให้กับทุกคน ทุกช่วงชีวิต ทุกไลฟ์สไตล์

สุชาดา ธีรวชิรกุล





สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

ทุกวันนี้ โลกหมุนเปลี่ยนเร็วขึ้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องวิ่งตามให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ล่าสุด “สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย” (MAT)โดย “คุณสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์” นายกสมาคมฯ ได้ชี้ 4 เทรนด์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย อันส่งผลต่อการทำธุรกิจทั้งในวันนี้ และในอนาคต โดยทุกธุรกิจสามารถนำเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ไปปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจ ได้แก่
  1. โลกในวันนี้ และวันข้างหน้า ไม่มีคำว่า “One Size Fit All” อีกต่อไปแล้ว นั่นความว่า การผลิตสินค้า 1 อย่าง และการทำตลาด 1 รูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกคน ไม่ใช่คำตอบของการทำธุรกิจแล้ว แต่ธุรกิจต้องผลิตสินค้า และทำการตลาด “เฉพาะกลุ่ม” ภายใต้คำว่า “เฉพาะกลุ่ม” สามารถแบ่งผู้บริโภคออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ที่นับวันจะเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ
    • แนวโน้ม “คนโสด” มากขึ้น และ “ครอบครัวขนาดเล็ก” จะขยายตัวเพิ่มขึ้น
    • “Aging Population” คนอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีมากขึ้น เพราะโลกสมัยใหม่ คนกินดี อยู่ดี การดูแลรักษาดีขึ้น ทำให้คนอายุยืนยาวขึ้น
    • ผู้บริโภคกลุ่ม “Millennials” จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  2. โลกเข้าสู่ยุค “Digital Revolution” สะท้อนได้จากปัจจุบันคนไทยมีโทรศัพท์มือถือ 90 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทย 67 ล้านคน ขณะเดียวกันอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตในไทย เติบโตถึง 60% และทุกวันนี้ การติดต่อสื่อสาร การทำธุรกรรม การค้นหาข้อมูลข่าวสาร 85% ทำผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือที่เรียกว่า Mobile First สังเกตได้จาก กรุงเทพฯ ติด Top 5 ของจำนวนผู้ใช้ Facebook ทั่วโลก, ประเทศไทย ติด Top 5 ที่นิยมดู Content ต่างๆ ผ่านวีดีโอ ออนไลน์ และมีผู้ใช้ LINE ติดอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น
  3. “Health and Well-Being” มาจริงแล้ว หลายคนคงได้ยินเทรนด์สุขภาพ และการอยู่ดีมีสุขมาสักระยะแล้ว แต่ในอดีตเป็นเพียงแนวคิด และมีผู้ประกอบการที่เจาะตลาดนี้ไม่มากนัก แต่เวลานี้ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น แสวงหาวิถีชีวิตที่อยู่ดีมีสุข
    โดยถ้าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และวัยทำงาน วัตถุประสงค์หลักของการดูแลสุขภาพ เพื่อให้ตนเองมีบุคลิกภาพที่ดูดี ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ ดูแลสุขภาพ เพื่อต้องการสุขภาพร่างกายแข็งแรง ดังนั้น สินค้าและบริการใดก็ตาม ที่ต้องการจับเทรนด์นี้ ก็สามารถเลือกโฟกัสได้ว่าจะเจาะผู้บริโภคกลุ่มไหน เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของผู้บริโภคกลุ่มนั้นๆ
  4. “Environment” สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวคนเราทุกคน และนับวันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ต่อไปในอนาคตจะเห็นนวัตกรรมสินค้าที่พัฒนาขึ้น เพื่อตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ เช่น สินค้าที่ใช้พลังงานทดแทน

“การตลาด + นวัตกรรม” สร้างการเติบโตทุกสถานการณ์

นอกจากนี้ “สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย” ยังได้แนะผู้ประกอบการธุรกิจว่า ไม่ว่าธุรกิจ และเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการธุรกิจควรให้ความสำคัญกับ “การทำการตลาด” เพราะมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นการสร้างแบรนด์ สร้างสินค้าให้ติดหู ติดใจ ติดปากผู้บริโภค เพื่อให้อยู่ในใจผู้บริโภค ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการหาโอกาสทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
“อยากให้ผู้ประกอบการธุรกิจ เข้าใจเกี่ยวกับการใช้เงินว่า เมื่อธุรกิจมีกำไร ควรแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งควรเอาไปลงทุนด้านการตลาด ซึ่งคนมักจะมองว่าการลงทุนด้านการตลาด เป็นการเอาเงินไปทิ้งลงทะเล ไม่ได้ผลอะไรกลับมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราทำการตลาดถูกต้อง เดินถูกทาง การตลาดก็สามารถเป็นตัวเร่ง ตัวคูณให้กับธุรกิจได้เช่นกัน
การทำตลาดในทีนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เพราะหลายอย่างไม่ต้องใช้งบมากมาย เช่น การทำ Brand Design ให้สวย ให้เรียบง่าย การทำแพคเกจจิ้งให้สวยงาม ปรับราคาให้ถูกต้อง จัดเรียงสินค้าภายในร้านให้ดี มีหลายอย่างที่ไม่ต้องใช้เงินมากมาย”
ขณะเดียวกันต้องไม่หยุดพัฒนา “นวัตกรรมที่ดี และโดนใจผู้บริโภค” เพื่อนำเสนอออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ ซึ่งนวัตกรรมในทีนี้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่เรื่องเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมโปรดักส์ที่ต้องล้ำหน้าเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงนวัตกรรมไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมด้านการตลาด
“ไม่ว่าจะอยู่สถานการณ์ไหน เศรษฐกิจจะขึ้นหรือลง ถ้าผู้ประกอบการธุรกิจมองเป็นปัญหา ก็เป็นปัญหา แต่ถ้ามองเป็นโอกาส ก็จะเจอโอกาส ในทุกสถานการณ์จะมีโอกาสเสมอ เมื่อมองเห็นโอกาสแล้ว ต้องรู้ศักยภาพตัวเอง อย่าทำจนเกินตัว อย่าทำความเสี่ยงให้ใหญ่เกินไป ทำทีละขั้นทีละตอน จับประเด็นให้ถูก จับโอกาสให้ถูก ลงมือทำจริงจัง และเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพื่อปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะการทำธุรกิจ ต้องคล่องตัว ว่องไว มีไหวพริบ
ขณะเดียวกัน ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ถ้าผู้ประกอบการธุรกิจมีนวัตกรรม จะยิ่งทำให้ธุรกิจเติบโต ที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่าบริษัทที่เจริญเติบโต ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่ดี สิ่งที่ทำให้เขาอยู่ได้ คือ นวัตกรรม เพราะฉะนั้นอย่าหยุดที่จะลงมือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อย่าหยุดที่จะสร้างความแตกต่าง” คุณสุพัตรา กล่าวทิ้งท้าย
ที่มาของบทความ http://www.brandbuffet.in.th/2016/08/marketing-trends-mat-2016/



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น